top of page
สื่อธรรม
คำคมธรรมะ
คำคมธรรมะ สอนใจ ความทุกข์
อดีตล่วงไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุด...แล้วอนาคตจะดีเอง
คำคมธรรมะ สอนใจ ความทุกข์
อย่าหยุดตัวเองไว้กับความทุกข์ คุณมีสิทธิ์ที่จะมีความสุขไม่น้อยไปกว่าคนอื่น
คำคมธรรมะ สอนใจ ความโกรธ
แม้เขาทำไม่ดี ก็อย่ามองเขาเป็น "ศัตรู" แต่ยกให้เขาเป็น "ครู" ที่ทำให้รู้ว่าอะไรที่ "ไม่ควรทำ"
คำคมธรรมะ สอนใจ การปล่อยวาง
เวลาที่เรา ไม่มีอะไร(ปล่อยวาง ไม่ยึดติด) เป็นของเราเลย นั้นแหละเป็น
เวลาที่เรา...มีความสุขที่สุด
คำคมธรรมะ สอนใจ การปล่อยวาง
อย่าพยายามทำตัวเป็นเจ้าของ "ใคร" หรือ "อะไร" เพราะสิ่งเดียวที่เราเป็นเจ้าของได้มีเพียง ลมหายใจของตัวเอง
วิดีโอธรรม
วิดีโอธรรม
นิทานธรรมะสอนใจ: วิ่งไล่ตามก้อนเมฆ
“วิ่งไล่ตามก้อนเมฆ”
นิทานของผู้ใหญ่
พอโตเป็นผู้ใหญ่ บางครั้งเราก็หลงลืมไปว่า ตอนเป็นเด็กเราชื่นชอบและตื่นเต้นกับการฟังนิทานมากมายขนาดไหน ถ้าจะบอกว่านิทานเป็นไฮไลท์วัยเด็กของมนุษย์ส่วนใหญ่ก็คงไม่เกินความจริงมากนัก แต่พอโตขึ้นมา พวกเรากลับเลิกฟังนิทานไปโดยไม่รู้ตัว ทั้งๆ ที่นิทานที่ดียังคงมีที่ทางในโลกของผู้ใหญ่ไม่น้อยกว่าวัยเด็กเลย
นิทานเรื่องนี้เริ่มที่…แม่น้ำสายหนึ่งไหลรินจากยอดเขา เป้าหมายของเธอคือการออกสู่ท้องทะเลกว้าง เมื่อเธอยังเยาว์อยู่เธออยากวิ่งเร็วที่สุด ไหลผ่านให้เร็วที่สุด เพื่อไปถึงทะเลไวที่สุด แต่เมื่อไหลเรื่อยมาถึงที่ราบ ผ่านทุ่งนา เธอก็ต้องเริ่มไหลช้าลง…ช้าลง นั่นเพราะเธอได้กลายเป็นลำธารไปเสียแล้ว เมื่อต้องไหลช้าๆ เธอจึงเริ่มเห็นก้อนเมฆ เธอมองเห็นว่าก้อนเมฆ มีรูปทรงต่างๆ กัน มีสีสันต่างกัน และเมื่อรู้สึกตัวอีกที ลำธารก็เริ่มไล่ตามก้อนเมฆ จากก้อนนั้นไปก้อนนี้ แต่ก้อนเมฆไม่เคยอยู่นิ่งๆ เสียที เดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็ไป เมื่อลำธารรู้สึกว่าก้อนเมฆไม่ได้อยากอยู่กับเธอ นั่นทำให้ลำธารโศกเศร้ามาก แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้
วันหนึ่งลมพัดมาแรงมากจนก้อนเมฆถูกพัดหายไปหมด ท้องฟ้ากระจ่างเป็นสีฟ้าสดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่เพราะก้อนเมฆได้หายไปหมดแล้ว ลำธารจึงเริ่มคิดว่าชีวิตนี้ไม่น่าอยู่อีกต่อไป เธอไม่เคยเรียนรู้วิธีที่จะชื่นชมความงดงามของท้องฟ้ากระจ่าง แต่เธอกลับมองเห็นว่าท้องฟ้านั้นว่างเปล่า และชีวิตของเธอก็เช่นกัน…มันช่างว่างเปล่าจนหมดความหมายเสียแล้ว
คืนนั้นลำธารอยากฆ่าตัวตาย แต่เธอจะทำได้อย่างไร ลำธารที่ไหนจะฆ่าตัวตายได้ จากสิ่งหนึ่งที่มีอยู่จะกลายเป็นความว่างเปล่าได้อย่างไร คืนนั้นเธอร้องไห้ทั้งคืน น้ำตาของเธอรินไหลกระทบฝั่งเป็นจังหวะ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เธอได้กลับมาหาตัวเอง ที่ผ่านมาแทนที่จะค้นหาความสุขภายใน เธอกลับวิ่งตามหาความสุขภายนอกมาตลอด
และครั้งนี้เธอได้กลับมาฟังเสียงร้องไห้ของตัวเอง แล้วเธอก็ค้นพบสิ่งหนึ่งที่น่าประหลาด เธอค้นพบว่า เธอเองก็ประกอบด้วยก้อนเมฆ มันน่าประหลาดมาก เพราะเธอวิ่งตามก้อนเมฆมาตลอด แต่จริงๆ ก้อนเมฆนั้นก็ประกอบขึ้นเป็นเธอ สิ่งที่เธอวิ่งหานั้นอยู่ในตัวเธอมาตลอดเวลา
ความสุขก็เป็นเช่นนี้เอง ถ้าเราเรียนรู้ที่จะหยุดแล้วกลับมาหาตัวเราเองในปัจจุบันขณะ เราก็จะพบว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลนี้ที่จะทำให้เรามีความสุขได้นั้นมีเต็มเปี่ยมพร้อมอยู่ในตัวเราเสมอ เราไม่จำเป็นต้องออกวิ่งตามหาเลย
ทันใดนั้น ลำธารก็รับรู้ถึงสิ่งหนึ่งซึ่งสะท้อนบนพื้นผิวของเธอ ท้องฟ้านั่นเอง ช่างสงบ แข็งแรง มั่นคง และเป็นอิสระอะไรเช่นนั้น ก่อนหน้านี้เธอได้แต่วิ่งไล่ตามก้อนเมฆจนมองไม่เห็นสิ่งนี้ พลันเธอก็รับรู้ว่า ความสุขของเธอประกอบด้วยความมั่นคง อิสรภาพ และพื้นที่กว้างใหญ่รอบตัว นั่นเป็นคืนแห่งการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล น้ำตาและความทุกข์ได้แปรเปลี่ยนเป็นความสุขและความสงบ
วันรุ่งขึ้น สายลมได้พัดพาเอาก้อนเมฆกลับมาเหมือนเดิม แต่คราวนี้ลำธารพบว่า เธอสามารถสะท้อนก้อนเมฆได้โดยที่ไม่ยึดติดกับก้อนเมฆ เมื่อเมฆลอยผ่านมาเธอก็บอกว่า “เมฆจ๋า สวัสดีจ้ะ” และเมื่อเมฆลอยผ่านไปเธอก็บอกว่า “แล้วเจอกันใหม่นะ” โดยไม่รู้สึกซึมเศร้าแต่อย่างใด เธอรู้แล้วว่าความอิสระคือรากฐานสำคัญที่สุดของความสุข เธอได้เรียนรู้ที่จะหยุดวิ่งในที่สุด และคืนนั้น สิ่งที่สวยงามที่สุดก็ปรากฏขึ้น
พระจันทร์เต็มดวงนั่นเองสะท้อนอยู่บนผิวน้ำของเธอ ลำธารมีความสุขมาก เธอสะท้อนได้ทั้งก้อนเมฆและพระจันทร์ตามที่ทั้งสองเป็นอย่างแท้จริง ระหว่างนั้นเธอก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปยังท้องทะเลกว้าง คราวนี้เธอไม่ได้รีบวิ่งอีกต่อไปแล้ว แต่เธอกำลังรับรู้ความสุขทุกห้วงเวลาแห่งปัจจุบันขณะอย่างเต็มเปี่ยม
นิทานธรรมะสอนใจ: โชติปาลกุมาร
โชติปาลกุมาร
กาลครั้งหนึ่งมีนายทหารหนุ่มผู้องอาจคนหนึ่งนามว่า “โชติปาลกุมาร” เป็นผู้ที่มีความสามารถในเรื่องยิงธนูชนิดที่ไม่มีใครสู้ได้ในชมพูทวีป ชื่อเสียงของเขาเป็นที่เลื่องลือไปทั่ว
วันหนึ่งเขาเปิดการแสดงศิลปะการใช้ธนูให้ประชาชนชม ปรากฏว่าได้เงินเป็นจำนวนมหาศาล แม้แต่พระราชาก็ยังชื่นชมจนพระราชทานทรัพย์ให้เป็นอันมาก และตรัสกับเขาว่า พรุ่งนี้จะให้รับตำแหน่งเสนาบดี
ฝ่ายนายทหารหนุ่มโชติปาลกุมาร เมื่อได้ทรัพย์จากประชาชนผู้นิยมชมชื่นเขาแล้ว กลับคิดว่า บรรดาคนที่มอบทรัพย์ให้เขามานั้นล้วนยากจนกว่าเขา และด้วยความที่มีจิตเมตตา ไม่อยากให้คนเหล่านั้นต้องลำบาก เขาจึงคืนเงินให้คนที่มาดูไปทั้งหมด
คืนนั้นนายทหารหนุ่มนอนคิดถึงเรื่องการเข้ารับตำแหน่งเสนาบดี และคิดทบทวนว่า ศิลปะการยิงธนูมีประโยชน์อะไรบ้าง คิดแล้วก็พบคำตอบว่า ยิงไปแล้วทำให้คนอื่นตาย เมื่อสู้ชนะก็ได้รางวัล ซึ่งทำให้เขาหลงใหลอยู่ในกิเลส และสุดท้ายผลของการทำให้ผู้อื่นตายนั้นเองจะทำให้เขาต้องตกนรก
เมื่อคิดแล้วเห็นแต่ผลเสีย เขาจึงรีบหนีออกจากบ้านเข้าป่าแล้วบวชเป็นฤๅษี บำเพ็ญฌานอย่างตั้งอกตั้งใจจนได้ชื่อว่า “โชติปาลดาบส” ในเวลาต่อมาพระราชาและข้าราชบริพารเป็นอันมากก็ได้ออกบวชตาม
อยู่มาวันหนึ่ง กีสวัจฉดาบส ซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของโชติปาลดาบสได้เข้าไปพักในอุทยานของ พระเจ้าทัณฑกี วันนั้นหญิงงามเมืองคนหนึ่งถูกปลดออกจากตำแหน่ง นางรู้สึกเศร้าเสียใจมากจึงเดินวนเวียนร้องไห้อยู่ในอุทยาน และได้มาพบดาบสเข้า นางคิดว่า นี่คงจะเป็นคนกาลกิณีเข้ามาในอุทยาน และคิดว่านี่คงจะเป็นต้นเหตุให้นางถูกปลดจากตำแหน่ง จึงถ่มน้ำลายรดศีรษะของดาบสนั้นแล้วจากไป
ต่อมาพระราชาทรงระลึกถึงความดีบางอย่างของนาง จึงแต่งตั้งนางกลับขึ้นมาใหม่ ทำให้นางเข้าใจผิดคิดว่า ผลของการถ่มน้ำลายรดศีรษะดาบสทำให้ได้ตำแหน่งคืนมา
ครั้นเมื่อพระราชาทรงถอดปุโรหิตออกจากตำแหน่ง เขาจึงไปถามนางว่าทำอย่างไรจึงได้ตำแหน่งคืนมา นางก็เล่าเรื่องที่นางถ่มน้ำลายรดดาบสให้ฟัง เขาจึงทำอย่างนั้นบ้าง คิดว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ให้ตนเอง
ต่อมาพระราชาทรงระลึกถึงความดีบางอย่างของเขา จึงแต่งตั้งเขากลับมาเป็นปุโรหิตดังเดิม เขาก็เข้าใจผิดว่าคงเป็นผลมาจากการถ่มน้ำลายรดดาบส
หลังจากนั้นได้เกิดจลาจลขึ้นที่ชายแดน พระราชาทรงเตรียมยกกองทหารไปปราบ ปุโรหิตจึงแนะนำว่า ถ้าหวังจะชนะควรเสด็จไปสะเดาะเคราะห์เสียก่อน พระราชาทรงหลงเชื่อคำของปุโรหิตจึงเสด็จไปยังอุทยานและบ้วนพระเขฬะลงบนศีรษะของดาบส เหล่าทหารทั้งมวลเห็นดังนั้นก็ทำตาม
เสนาบดีผู้หนึ่งเป็นคนดีมีคุณธรรม เมื่อมาเห็นดาบสอยู่ในสภาพอย่างนั้น จึงช่วยล้างสิ่งสกปรกออกจากศีรษะท่านและให้ท่านอาบร่างกายด้วยน้ำสะอาด แล้วจึงเรียนถามท่านว่า จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นกับพระราชา
ดาบสตอบว่า อาตมาไม่มีใจจะประทุษร้ายพระราชาหรือผู้ใดเลย แต่เทวดาโกรธมากและจะทำบ้านเมืองให้พินาศ ฉะนั้นขอให้เสนาบดีรีบย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อื่นเสีย
เมื่อท่านโชติปาลดาบสทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว จึงรีบส่งดาบสหนุ่มสองรูปไปรับกีสวัจฉดาบสผู้เป็นลูกศิษย์กลับมาสู่สำนักของตน
หลังจากพระราชาปราบจลาจลได้สำเร็จ ขณะกำลังเสด็จกลับเมืองนั้นเอง ฝนได้ตกอย่างหนัก มีทั้งฝนน้ำ ฝนดอกไม้ ฝนอาภรณ์ และท้ายที่สุดเป็นฝนอาวุธ
เมื่ออาวุธทั้งหลายตกลงมาบนร่างกายของชาวเมือง ชาวเมืองก็พากันล้มตาย บ้านเมืองจึงล่มสลายลงด้วยอำนาจแห่งเทวดา
มีสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า…
คนโง่ทำกรรมชั่วแล้ว เมื่อกรรมชั่วยังไม่ให้ผลและประสบผลดี ก็มักเข้าใจผิดคิดว่า นั่นคือผลแห่งกรรมชั่วที่ตัวกระทำ ครั้นเมื่อกรรมชั่วให้ผลจริงๆ ก็ย่อมจะพินาศแก้ไขอะไรไม่ได้
ดังนั้น เราจึงควรเชื่อมั่นในการทำความดี อย่าคิดว่ากรรมดีไม่ส่งผล
เพราะ…ทำดีต้องได้ดีแน่นอน
bottom of page